ความหมายวัดไทย

วัดไทย โดย นายจุลทัศน์ พยาฆรานนท์

          “วัด”  โดยทั่วไปหมายถึง สถานที่ทางศาสนาสำหรับประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ  รวมทั้งเป็นที่พำนักของสงฆ์และนักบวช  ส่วนคำว่า  “วัดไทย”  หมายถึง  วัดทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย  ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทนอกจากนี้  ในปัจจุบันยังหมายความรวมถึงวัดที่ชุมชนชาวไทยไปสร้างไว้ในต่างประเทศเพื่อ เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ไทยที่ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเป็นสถานที่ประกอบ ศาสนพิธีของพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้น ๆ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงวัดไทยเฉพาะที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น

          วัดไทย  มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยที่พระสงฆ์นำเอาพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดียเข้ามา เผยแผ่ยังดินแดนที่เป็นสยามประเทศ  ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๐ หรือตอนต้นสมัยทวารวดี  พระสงฆ์ที่เดินทางเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นเมื่อไปถึงเมืองใด ๆ  และได้มีโอกาสเผยแผ่สั่งสอนผู้คนให้รู้จักเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาและ ศรัทธาเชื่อถือในพระธรรมคำสั่งสอนเป็นที่มั่นคงแล้ว  พระสงฆ์ก็จะจัดการให้มีวัดขึ้นเป็น “ศาสนสถาน” สำหรับเป็นที่พำนักและปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์  รวมทั้งเป็นสถานที่สำหรับแสดงธรรม แก่ผู้คนในเมืองนั้นๆ  ให้พระพุทธศาสนามั่นคงถาวรต่อมาเป็นลำดับ

บริเวณของวัด

          ในการที่จะสร้างวัดขึ้นมาแต่ละแห่งๆ ย่อมต้องการที่ดินสำหรับปลูกสร้าง “เสนาสนะ” คือ ที่อยู่สำหรับพระสงฆ์ กับ  “ศาสนสถาน” คือ สถานที่สำหรับปฏิบัติกิจทางศาสนาในหมู่สงฆ์ และร่วมกับฆราวาส  เช่น  โบสถ์  วิหาร  ศาลาการเปรียญ  ฯลฯ  และ  “ปูชนียสถาน” คือ  มณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธรูป  หอกระธรรมหรือหอไตรสำหรับเก็บรักษาคัมภีร์พระธรรม  พระสถูปเจดีย์หรือพระมหาธาตุเจดีย์  ซึ่งเป็นที่บรรจุและเก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุเพื่อเป็นประโยชน์แก่การพระ พุทธศาสนา  ที่ดินสำหรับสร้างวัดแต่ละแห่งมักเป็นที่ดินที่เจ้าของบริจาคถวายพระสงฆ์ไว้ เป็นสิทธิ์ขาดเรียกว่า  “ที่กัลปนา”

          ตามประเพณีนิยมและธรรมเนียมในอดีต ที่ดินหรือพื้นที่ที่จะสร้างวัดแต่ละแห่งมักจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็นเขต ๆ  ไม่ปะปนกันได้แก่
–  เขตพุทธาวาส  คือ  พื้นที่ส่วนหนึ่งกำหนดให้เป็นที่ตั้งเฉพาะปูชนียสถานและศาสนสถาน
–  เขตสังฆาวาส  คือ  พื้นที่ส่วนหนึ่ง  ซึ่งกำหนดให้เป็นที่พำนักสำหรับภิกษุและสามเณร
–  เขตที่ปรก  คือ  พื้นที่ส่วนหนึ่ง  ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอย่างถาวร  มีเพียงซุ้มที่สร้างขึ้นชั่วคราวสำหรับพระภิกษุอาศัยในเวลาอยู่  “ปริวาส”  คืออยู่ชดใช้ หรือเรียกเป็นสามัญว่า  “อยู่กรรม”  ซึ่งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่พระภิกษุผู้ต้องอาบัติสัง ฆาทิเลส  คือปฏิบัติผิดพระธรรมวินัยในขั้นปานกลางแล้วปกปิดไว้  ต้องปฏิบัติเพื่อเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้เท่ากับจำนวนวันที่ผิดอาบัติ

          วัดแต่ละแห่งมักหันหน้าวัดไปทางทิศบูรพาหรือทิศตะวันออก  ทั้งนี้เนื่องมาจากสมัยที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้พระสัทธรรมนั้น  เสด็จประทับใต้ต้นโพธิ์  โดยบ่ายพระพักตร์ตรงไปทางทิศตะวันออก  ทิศนี้จึงถือว่าเป็นทิศมงคลตามความเชื่อในบรรดาพุทธศาสนิกชน

          พื้นที่ของวัดแต่ละแห่งส่วนมากมักเป็นพื้นที่รูปสี่เหลี่ยม บริเวณชาย พื้นที่แต่ละด้านในสมัยก่อนมักขุดดินทำเป็น “คูน้ำ”  ล้อมไว้โดยรอบ จัดเป็นเครื่องแสดงเขตวัดอย่างหนึ่งซึ่งยังมีหลักฐานคงเหลือ อยู่ให้เห็นตามวัดที่สร้างในสมัยสุโขทัย  สมัยอยุธยา แม้กระทั่งวัดที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ยังมีให้เห็นเช่นกัน แต่ภายหลังคูน้ำรอบวัดได้ถูกถมไปเสียมากแล้ว

          บริเวณชายพื้นที่ของวัดที่อยู่ถัดริมคูน้ำเข้าไปมักสร้างกำแพงกัน ซึ่งก่อ ด้วยอิฐบ้างศิลาแลงบ้าง ขนาดควานสูงพอบังตาคนยืนโดยสร้างบรรจบกันทุกด้าน เพื่อกำหนดเป็นเขตแดนของวัด  ตรงกลางกำแพงแต่ละด้านมีประตูเป็นช่องทางเข้าออกอย่างน้อยด้านละประตู ประตูวัดทั่วไปมักทำ  “ซุ่มคูหา” แบบต่างๆ เป็นส่วนประกอบของช่องประตู

อ้างอิง http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=%C7%D1%B4%E4%B7%C2&select=1

ใส่ความเห็น